พระสมเด็จปิลันทน์  พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ พิมพ์ลึก วัดระฆังโฆสิตาราม

พระสมเด็จปิลันทน์  พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ พิมพ์ลึก วัดระฆังโฆสิตาราม        พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆัง เป็นพระเนื้อผงใบลานเผาส่วนใหญ่เนื้อออกสีเทาๆ พระสมเด็จปิลันทน์ ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็คือ "พระสมเด็จพระพุทธบาทปิลันทน์"สร้างโดยหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทัต เสนีวงศ์  พระสมเด็จปิลันทน์ ซึ่งเป็นพระของวัดระฆังฯ ที่มีการสร้างยาวนานอีกองค์หนึ่ง หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทัต เสนีวงศ์ เป็นเจ้าวังหลัง และทรงอุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับอยู่ที่วัดระฆังฯ และศึกษาพระบาลีปริยัติธรรมกับ เจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยตรงมาตั้งแต่ต้นจนได้เปรียญ 7 ประโยค และเป็นศิษย์ที่ทรงสมณศักดิ์สูงที่สุดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ อีกด้วย ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงสมณศักดิ์ที่ หม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ในรัชกาลที่ 4 อันเป็นสมณศักดิ์ที่ทรงพระราชทานถวายเฉพาะ แด่พระเถระที่เป็นพระราชวงศ์เท่านั้น และทรงสมณศักดิ์สุดท้ายเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ แล้วโปรดให้ไปครองวัดเชตุพนฯ<br />        <br />        พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเต็มความก็คือ พระสมเด็จพระพุทธบาทปิลันทน์ สร้างโดยหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทัด เสนีวงศ์ ในสมัยที่ท่านดำรง สมณศักดิ์ที่ หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ณ วัดระฆังฯ ท่านทรงเป็นศิษย์เอกของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี นับตั้งแต่ทรงช่วยเจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างพระสมเด็จฯ เป็นต้นมา และได้ทรงสร้างพระเครื่องฯ ของท่านขึ้นมาบ้างในปีพ.ศ. 2411 ภายหลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จฯ มาแล้ว 2 ปี แต่มิได้ทรงสร้างโดยลำพังพระองค์เดียว หากอาราธนาให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ร่วมสร้างด้วย และขอผงวิเศษห้าประการของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาเป็นอิทธิวัตถุผสมเป็นหลักของมวลสาร ดังนั้น พระเครื่องฯ ชนิดนี้คนรุ่นเก่าๆ ที่ทราบประวัติการสร้างจึงนิยมเรียกว่า "พระสองสมเด็จฯ" แต่นักนิยมพระเครื่องทั่วๆไปนิยมเรียกว่า "พระสมเด็จปิลันทน์" เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ สิ้นแล้วท่านจึงได้บรรจุพระเครื่องฯ เหล่านี้ไว้ในพระเจดีย์องค์หนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระอุโบสถ โดยอุทิศส่วนกุศลถวายเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ผู้เป็นพระอาจารย์<br />  <br />        พระปิลันทน์ มีหลายพิมพ์ ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือการแกะแม่พิมพ์ของช่างหลวงทั้งสิ้น เพราะแต่ละพิมพ์ล้วนมีความงดงามวิจิตรอลังการ ยากที่ช่างฝีมือชาวบ้านธรรมดาจะทำได้ พิมพ์ที่ถือว่าสุดยอด ของ พระปิลันทน์ ก็คือ พิมพ์ซุ้มประตู เนื้อพระจะออกไปในทางเทาอมดำ บางท่านก็ว่าเป็นเขียวอมดำและมีคราบไขขาวเกาะแน่นหนา ซึ่งทำให้ง่ายต่อการพิจารณายิ่งขึ้น(พระปลอมไขขาวจะหลุดล่อนง่าย)ในส่วนของพระที่บรรจุกรุ ได้มีการขุดพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๗๑  "สมเด็จพระพุฒาจารย์"มีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าทัต เสนีย์วงศ์"<br /> เป็นพระโอรสใน กรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ( พระองค์เจ้าแดง )ใน กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ( วังหลัง ) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๒อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ จำพรรษา ณ วัดระฆังฯ ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๑๓ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ แทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )ซึ่งชราภาพแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) มรณภาพปี พ.ศ.๒๔๔๓ การสร้างพระเครื่องสมเด็จพระปิลันทน์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.๒๔๐๗ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระพุทธบาทปิลันทน์"ในช่วงปีดังกล่าว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ยังมีชีวิตอยู่ จึงสันนิษฐานว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯโต จะแผ่เมตตาประกอบพิธีปลุกเสกให้ด้วย  พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆัง พุทธลักษณะ<br /> เป็นพระที่มีทั้ง พิมพ์นั่งสมาธิบนฐานต่าง ๆ และพิมพ์ยืน จำแนกพิมพ์พระปิลันทน์เป็นพระที่มีพิมพ์จำนวนมาก แต่จำแนกตามพิมพ์ที่นิยมกันได้ดังนี้<br /> 1. พระพิมพ์ซุ้มประตู<br /> 2. พระพิมพ์ครอบแก้วใหญ่<br /> 3. พระพิมพ์ครอบแก้วเล็ก<br /> 4. พระพิมพ์เปลวเพลิงใหญ่<br /> 5. พระพิมพ์เปลวเพลิงกลาง<br /> 6. พระพิมพ์เปลวเพลิงเล็ก<br /> 7. พระพิมพ์สี่เหลี่ยมปรกโพธิ์ใหญ่<br /> 8. พระพิมพ์สี่เหลี่ยมปรกโพธิ์เล็ก <br /> 9. พระพิมพ์สี่เหลี่ยมปรกโพธิ์เล็ก ครอบแก้ว<br /> 10. พระพิมพ์ประทานพร หรือปฐมเทศนา<br /> 11. พระพิมพ์โมคคัลลาน์ - สารีบุตร<br /> 12. พระพิมพ์เล็บมือจิ๋ว<br /> 13.พระพิมพ์ปิดตา<br /> 14.พระพิมพ์หยดแป้ง<br /> 15.พระพิมพ์สมเด็จจิ๋ว<br /> 16.พระพิมพ์ซุ้มรัศมี        พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมาพุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง  เมตตามหานิยม และโภคทรัพย์ดีนักแล       <br />        <br />        สุดท้ายนี้ผมขอให้ท่านและครอบครัว จงมีแต่ความสุขความสำเร็จ สมปรารถนาทุกประการนะครับ        โดย ป๋อง สุพรรณ การันตี         รูปภาพและเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ มีไว้เพื่อศึกษาและเป็นวิทยาทาน เกี่ยวกับเรื่องราววัตถุมงคลของประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อการซื้อขายแต่อย่างใด

  อัพเดต: 07/04/2023

  อ่าน:  789  คน